top of page

"เพียงคำเดียว" บทเพลงอมตะของ สุนทรียา ณ เวียงกาญจน์

แรงบันดาลใจกับอีกนับ "ล้านคำ" ของนักแต่งเพลงรุ่นหลัง

          ตอนเย็นของวันที่ 30 กันยายน 2557  ในขณะที่คนไทยทั้งประเทศกำลังรอลุ้น รอชมการแข่งขันฟุตบอลเอเชี่ยนเกมส์รอบตัดเชือกระหว่างทีมชาติไทย กับเกาหลีใต้  ในเวลาที่ฝนปลายฤดูกำลังโปรยปราย ทั้งกรุงเทพฯกำลังชุ่มฉ่ำ  ผมก็ได้ข่าวคราวการเสียชีวิตของครูเพลงท่านหนึ่ง ท่านเป็น ศิลปินแห่งชาติ ที่มีผลงานการแต่งเพลงกว่า 1,000 เพลง  ครูเพลงท่านนี้ผมเกือบจะได้มีโอกาสไปกราบท่านเป็นการส่วนตัวพร้อมน้องๆและลูกศิษย์รุ่นหนึ่งของผม  แต่ท่านบังเอิญป่วยหนักต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านกับโรงพยาบาลอยู่หลายเดือน  ทำให้พวกเราพลาดโอกาสอันเป็นมงคลที่จะได้กราบครูเพลงท่านนี้ด้วย

            ผมเคยได้ยินชื่อครู สุนทรียา ณ เวียงกาญจน์ มานานแล้ว  ตามประสาคนที่ชอบฟังเพลง ในยุคสมัยหนึ่ง..ตามธรรมเนียมของรายการเพลงลูกกรุงหรือลูกทุ่งเพลงไทย  ดีเจมักจะประกาศว่าเพลงที่กำลังจะเปิดนี้เป็นผลงานของครูเพลงท่านไหนให้ได้ยินกันอยู่บ่อยๆ  ถือเป็นทั้งการให้เกียรติแก่ผู้แต่งและการให้ข้อมูลแก่ผู้ฟัง  และที่น่าขายหน้า สมควรเอาปี๊บคลุมหัวตามสมัยนิยม คือผมนึกภาพไว้ในใจมาเสมอว่าครูสุนทรียา ณ เวียงกาญจน์ เป็นผู้หญิง !!

          ตามประสาเด็กบ้านนอกของแท้  ย่อมจะต้องได้ยินเสียงสะท้อนจากโลกนี้ผ่าน วิทยุทรานซิสเตอร์  เริ่มจากหมุนคลื่นหาช่องรายการที่ชอบ หลายวันผ่านไปพอเสียงจากวิทยุเริ่มแผ่วก็แปลว่าถ่านอ่อน  ถึงเวลาต้องเปลี่ยนถ่าน  ผมจึงคุ้นเคยกับถ่านไฟฉายตรากบและถ่านไฟฉายตรารักชาติเป็นอย่างดี  ไล้ฟ์สไตล์ของเด็กไทยในยุคที่โลกไม่ได้หมุนเร็วจี๋แบบทุกวันนี้  มีทีวีดูกันแค่ 4 ช่องคือช่อง 3 – 5 -7 - 9  ก่อนนอนเปิดวิทยุฟัง นิทาน “ลุงพร”  ตอนเช้าฟังข่าว สมหญิง และ ดุ่ย ณ บางน้อย ตอนกลางวันฟังละครวิทยุจากค่ายต่างๆ เช่น คณะเกศทิพย์, คณะนีลิกานนท์, คณะแก้วฟ้า ฯลฯ  และสาวๆมักจะหลงใหล เสียงหล่อๆของพระเอกในละครวิทยุ  ทั้งที่ตัวจริงอาจหน้าเหมือนโจรก็ได้   สรุปว่าชีวิตของผู้คนยุคนั้น ประโลมโลกด้วยเสียงจากวิทยุทรานซิสเตอร์นี่เอง หากขาดเสียงจากวิทยุไป หลายๆคนคงเหมือนจะขาดใจ  เป็นยุคสมัยที่ชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน แม้กระทั่งคนทำงานออฟฟิศในกรุงเทพฯ ล้วนได้รับความบันเทิงผ่านสื่อในรูปแบบที่ไม่ต่างกันนัก 

          เมื่อผมโตพอจะเข้าเรียน ให้คุณครูทำการเปิดกบาลสมองเด็กดื้อ  เคี่ยวเข็ญจนพออ่านออกเขียนได้  ประมาณชั้น ป.3 หรือ ป.4 หนังสือเล่มแรกในชีวิตที่ผมลงทุนควักเงินออกจากกระเป๋ากางเกงนักเรียนที่แฟบสนิทตลอดชีวิตการศึกษา  จ่ายเงินเพื่อซื้อ..ก็คือ หนังสือเพลง ! แบมือออดอ้อนขอเงินคุณยาย  2 บาท เพื่อการนี้เลยครับ และการทุ่มทุนสร้างขนาดนี้สำหรับชีวิตเด็กผู้ชายที่ครอบครัวกำลังพัฒนาสู่ชีวิตที่ดีขึ้น (เรียกสั้นๆว่า จน..นั่นแหละ) ย่อมเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อย  เพราะผมตามหาเนื้อเพลงเพลงหนึ่งซึ่งได้ยินจากวิทยุทรานซิสเตอร์  โดนใจเด็กกะหร่องกะโปโลอย่างผมมาก  เพลงนั้นคือเพลง “เพียงคำเดียว” ที่ขับร้องโดย สุเทพ วงศ์กำแหง ผลงานการเขียนคำร้องของครู สุนทรียา ณ เวียงกาญจน์ นั่นเอง  ร้านหนังสือในตลาดท่ารถดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี เป็นผู้ได้รับเงินที่ผมถือว่าเป็นการจ่ายค่าเรียนเพื่อวิชาชีพในอนาคตของผมไป  ยินดีด้วยนะครับ เฮียหนวด..!!

           พอได้หนังสือเพลงมา ผมก็เดินไป อ่านไป จำเนื้อเพลงไป เลาะริมคลองดำเนินสะดวกที่ทางเดินเคยปูด้วยไม้หมอน เว้นช่องห่างสักสองนิ้วตลอดทาง  กลัวสะดุดตกร่องหัวทิ่มตกน้ำก็กลัว  แต่ก็ใจร้อนอยากร้องเพลงนี้ได้จริงๆ  และมาจบลงด้วยการหัดร้องเพลง “เพียงคำเดียว” อยู่ใต้ต้นมะม่วงพันธุ์ทองดำในสวนหลังบ้าน  ตอนที่ผมทำสิ่งนี้อยู่  ผมไม่รู้ว่าครูสุนทรียา จะกำลังทำอะไรอยู่  ท่านคงมีชีวิตที่เต็มไปด้วยสีสัน มีภรรยาและลูกๆที่น่ารัก และคงกำลังสนุกกับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่  ก็คงได้แต่มโนกันไปนะครับ  แต่แนวโน้มน่าจะเป็นเช่นนั้น

หนังสือเพลงยุคราคาเล่มละ 2 บาท , 5 บาท

            ถ้าใครสนใจประวัติแบบเต็มๆของท่าน  คงหากันได้ไม่ยากนะครับ  แต่ย่อๆตามแบบของผม ชื่อ สุนทรียา ณ เวียงกาญจน์  เป็นนามแฝงที่ใช้ในการแต่งเพลงครับ  ชื่อจริงของท่านคือ เกียรติพงศ์ กาญจนภี  เกิดวันที่ 22 กันยายน 2469  เป็นบุตรของหลวงพินิจดุลอัฏ (พุฒ กาญจนภี)  ถ้าดูจากพื้นฐานครอบครัวแล้ว  ท่านคงไม่มีความจำเป็นต้องใช้ทักษะในการแต่งเพลงหาเลี้ยงชีพแต่ประการใด  เพราะอาชีพที่แท้จริงของท่านหลังจากเรียนจบจากสหราชอาณาจักร  คือเป็นนักเศรษฐศาสตร์บริหารการเงิน มีตำแหน่งมากมายในบริษัทหน่วยงานใหญ่ๆหลายแห่งด้วยกัน เช่น ฝ่ายวิชาการธนาคารแห่งประเทศไทย, ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารแห่งเอเชีย จำกัด, ผู้จัดการฝ่ายการเงินบริษัท อิตาเลียน – ไทย จำกัด, ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารสหธนาคาร จำกัด ฯล โดยการแต่งเพลงถือเป็นงานรองที่ทำด้วยใจรักและความสุขส่วนตัวของท่าน

        เท่าที่ผมสังเกต  สมัยก่อนนักแต่งเพลงจะจับคู่กันสร้างผลงานร่วมกัน ระหว่างคนเขียนทำนองกับคำร้อง  เช่น ครูเอื้อ สุนทรสนาน กับครูแก้ว อัจฉริยะกุล / ครูชาลี อินทรวิจิตร กับ ครูสง่า อารัมภีร์   ส่วนของครูสุนทรียา ณ เวียงกาญจน์  ผลงานของท่านส่วนใหญ่แต่งคำร้องร่วมกับทำนองของครู สมาน กาญจนะผลิน และครู สง่า อารัมภีร ไม่ใช่ทั้งหมดทุกเพลงที่มีโครงสร้างการทำงานร่วมกันแบบนี้นะครับ  แต่ศิลปินด้วยกัน มักจะหาคนที่สนิท รู้ใจ  เข้าใจกันจริงๆ เพื่อจะร่วมกันสร้างผลงานดีๆไว้ประดับวงการ

ครูสมาน กาญจนะผลิน

ครูสง่า อารัมภีร

            คราวนี้มาคุยกันถึงว่า  คำร้องเพลง “เพียงคำเดียว” สะท้อนอะไรออกมาจากความคิดของผู้แต่งบ้างครับ  สิ่งแรกที่ผมสัมผัสได้คือการร้อยต่อสัมผัสระหว่างท่อนเพลง ที่ทำให้เพลงที่มีคำร้องค่อนข้างยาวแบบเพลงนี้จำได้ง่ายขึ้น  ถึงจะเป็นมาตรฐานสำหรับการเขียนเพลงระดับครูเพลงในยุคนั้น  แต่เพลงนี้ก็มีเสน่ห์  มีกลเม็ดในการค่อยๆละเลียดละเอียดอ่อนก่อนบอกรัก  การเกริ่นด้วยประโยคแรกของเพลงว่า “เพียงคำเดียวที่ปรารถนา”  ซึ่งคนฟังก็จะตั้งอกตั้งใจฟังว่าตกลงคำนั้นมันคือคำว่าอะไร  ถึงจะรู้กันดีอยู่...ว่ามันคือคำว่าอะไร  แต่อย่างน้อยเราก็อยากรู้ว่าผู้แต่งจะเฉลย แบบไหน..ตอนไหน และอย่างไร  แล้วก็ต้องตามลุ้นกันจนถึงประโยคสุดท้ายของเพลงจริงๆครับ “ก็รัก..ยังไงเจ้าเอย”  เฉลยแล้วว่า “เพียงคำเดียว” ที่ต้องการได้ยินจากปากของฝ่ายหญิงคือว่าว่า “รัก” นั่นเอง เป็นอันว่าเพลงจบลงอย่างหมดข้อสงสัย

            คุณค่าความคิดสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ปรากฏในเพลงนี้คือ มันสะท้อนว่าคนสมัยก่อน เวลาจะตัดสินใจบอกรักใครสักคน  เค้าไม่ได้พูดกันง่ายๆ ต้องเก็บงำความรู้สึกไว้ จนมั่นใจแล้วว่ามันใช่จริงๆ ถึงได้พูดกัน  ถามว่าสมัยก่อนจะมีผู้ชายสตรอว์เบอร์แหลปลิ้นปล้อนบ้างหรือเปล่า  มันก็ต้องมีเป็นธรรมดาครับ  แต่การบอกรักของหนุ่มสาวสมัยก่อนเป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเมียดละไม ต้องผ่านความตั้งใจจริงในการกระทำเช่นการเขียนจดหมายถึงกันเป็นต้น   ถ้าไม่เห็นความสำคัญ ไม่คลั่งไคล้ หลงใหล มีใจกับเค้าบ้าง  ก็คงไม่เสียเวลาลงทุนเขียนไปหา หรือเขียนตอบ ซึ่งอาจต้องขยำกระดาษทิ้งหลายรอบ กว่าจะได้จดหมายที่เรียบเรียงถ้อยคำได้หมดจดอย่างใจ   คำว่า “รัก” จากหนุ่มสาวสมัยก่อน จึงเปี่ยมไปด้วย Magic ! เมื่อพวกเขาบอกรักกัน ไม่ว่าจะผ่านทางจดหมาย หรือบอกกันต่อหน้า

             แต่ผลงานตามความคิดของนักแต่งเพลงยุคนี้อาจทำให้ครูรู้สึกแย่ก็ได้ครับ  เพราะตามที่เป็นอยู่จริงทุกวันนี้  น้องๆเค้ามักจะทดลองจุ๊บกันดูก่อน  ถ้ารู้สึกว่ารสชาติใช้ได้แล้วค่อยบอกรักกัน

              จนเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ผมได้บังเอิญไปเจอผู้หญิงคนหนึ่งในคลาสฝึกเขียนเพลงของกลุ่มเครือข่ายศิลปะดนตรีเพื่อคนพิการ ที่ผมเป็นที่ปรึกษาโครงการและเป็นวิทยากรสอนเขียนเพลงอยู่  ชื่อคุณ อมรสุดา กาญจนภี  ลมอะไรจะพัดพาเธอมาก็ไม่ทราบ  แต่เธอก็ผ่านเข้ามาร่วมคลาสในโควต้าที่กลุ่มคนพิการเปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมด้วย  เมื่อรู้ว่าเธอเป็นลูกสาวของครูสุนทรียา ณ เวียงกาญจน์  ผมก็รู้สึกทึ่งและแปลกใจไม่น้อย  และถือโอกาสบอกเล่าเรื่องของตัวเองตอนสมัยเด็กๆที่เคยร้องเพลงของคุณพ่อเธอให้ฟัง   และผมไม่แปลกใจเลย ตามสำนวนไทยที่ว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น  เพราะคุณอมรสุดา เธอพกพรสวรรค์มาเต็มเปี่ยม  แสดงให้เห็นตั้งแต่ส่งการบ้านผมครั้งแรก  สมกับที่เป็นลูกสาวของครูสุนทรียาเลยครับ  แต่กลับไปดีเด่นในด้านการเขียนทำนอง ซึ่งต่างจากคุณพ่อของเธอที่ดีเด่นทางด้านการเขียนคำร้อง  อาจเป็นเพราะได้ยินเพลงสากลดีๆที่คุณพ่อเปิดมาตั้งแต่เด็ก  กลายเป็นภูมิความรู้สั่งสม  เป็นพรสวรรค์ที่ไม่เคยมีโอกาสได้นำออกมาใช้  จนกระทั่งมาเจอผมในคลาสสอนเขียนเพลง  ถึงตอนนี้ลูกสาวครู  มีโอกาสเขียนเพลงให้ศิลปินดังๆมากมายร้อง เช่น แอน ธิติมา ประทุมทิพย์, หนึ่ง ETC., นันทิดา แก้วบัวสาย, ศิรินทิพย์ หาญประดิษฐ์ศรัณย่า ส่งเสริมสวัสดิ์, ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี และอีกมากมายร้อง  และดูเหมือนว่านี่เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น...

 

              การได้รู้จักกับคุณอมรสุดา  ทำให้มีโอกาสได้รับรู้แง่มุมส่วนตัวของครูสุนทรียาเพิ่มเติม  จนอดไม่ได้ที่จะต้องขออนุญาตนำมาเล่าสู่กันฟัง บ้านเก่าของครูสุนทรียา อยู่ย่านบางลำพู ที่ตอนนี้คือย่าน ถ.ข้าวสาร นั่นเองครับ  ปัจจุบันตัวบ้านยังอยู่และครอบครัวท่านได้ทำสัญญาให้เช่าและกลายเป็นร้านอาหารหรูร้านหนึ่งในย่านนั้น  เหตุผลที่ย้ายไปส่วนหนึ่งผมเชื่อว่าท่านคงอยากหนีความพลุกพล่านจอแจของนักท่องเที่ยว ถ.ข้าวสารด้วย  คุณอมรสุดาเล่าว่าสมัยที่เธอยังเด็กๆ บ้านหลังนี้เป็นเสมือนบ้านที่นักร้องนักดนตรีที่มีชื่อเสียง จะแวะเวียนกันมาปาร์ตี้ในยามค่ำคืนอยู่เสมอ  คุณพ่อเธอสะสมแผ่นเสียงไว้มากมาย  และชอบฟังเพลงสากลตามศิลปินในยุคสมัยที่ท่านเติบโตมา  ทั้งวงสวิงเครื่องเป่าแบบ Glenn Miller, Frank Sinatra และคงอื่นๆอีกมากมาย  สมัยหนุ่มๆท่านเต้น Tap Dance ด้วยครับ  ซึ่งเพลงที่จะมาประกอบการเต้นแท็ปแด๊นซ์นี้ก็มักจะเป็นเพลง Jazz  นั่นเอง  ผมนำมุมนี้มาเล่าเพราะจะได้เห็นภาพของครูสุนทรียาได้ชัดเจนขึ้นครับ  ที่บ้านของท่านสมัยก่อนเป็นสถานที่หนึ่งที่เพื่อนๆ นักร้อง นักดนตรีคนสำคัญของยุคนั้น  ผลัดเปลี่ยนเวียนหน้ากันมาบ้านครูกันเป็นประจำครับ  

Glenn Miller

Frank Sinatra

Tap Dance โดย Fred Astaire 

             ถึงพวกเราจะอยู่ในยุคที่ความสนุกความบันเทิงเป็นสิ่งที่สัมผัสได้ง่ายๆใกล้ตัว  ผ่านเทคโนโลยีที่ยอดเยี่ยม  แต่ก็มีแง่มุมด้านศิลปะและความละเอียดอ่อนในการใช้ชีวิตของคนรุ่นครูมากมายที่พูดได้ว่าน่าอิจฉา  การจะเป็นหนุ่มสาวที่ทันสมัยของยุคนั้น ไม่ใช่แค่การแต่งตัวดี รสนิยมดี  มีบ้านหรูหรือมีรถยนต์ขับ แต่คุณต้องหัดเต้นรำเพื่อเข้าสังคม  และการจะเป็นดาวเด่นได้คือคุณต้องฝึกต้องหัดมันอย่างจริงจังเท่านั้น ถึงไม่ได้เห็นภาพกับนั้นกับตา แต่ผมมีความเชื่อ(ส่วนตัว) ว่าครูสุนทรียา ต้องเป็นชายหนุ่มที่เจ้าเสน่ห์และเนื้อหอมอยู่ไม่น้อย  เพราะมีคุณสมบัติครบทั้งหน้าตา มาจากครอบครัวที่ดี  เป็นหนุ่มนักเรียนนอกที่เต้นรำเก่ง เล่นดนตรีเก่ง แต่งเพลงเก่งตั้งแต่วัยหนุ่มต้นๆ และมันส่งผลให้ท่านสะท้อนมันออกมาผ่านเพลงที่เขียน เป็นบทเพลงรักที่โรแมนติค  เป็นบทเพลงแห่งความสุข  ทั้งเพลง “เพียงคำเดียว” หรือ “รักคุณเข้าแล้ว” หรือแม้กระทั่ง “นกเขาคูรัก” ซึ่งจัดเป็นผลงานอมตะของท่าน

 

            เพลง รักคุณเข้าแล้ว เป็นเพลงที่ท่านแต่งทั้งคำร้องและทำนองเอง (จากการยืนยันของคนในครอบครัวท่าน) แต่ในเครดิตที่คนทั่วไปรับรู้ ทำนองเพลงกลับเป็นชื่อของครูสมาน กาญจนะผลิน อาจจะเกิดความผิดพลาดเรื่องข้อมูลในสมัยนั้น เชื่อว่าพอแต่งเพลงนี้เสร็จ ครูสุนทรียาก็คงส่งไปให้ครูสมานเรียบเรียงดนตรี พอเพลงเสร็จเป็นมาสเตอร์ คนก็เลยนึกว่าทำนองเพลงนี้แต่งโดยครูสมาน เหมือนที่เคยทำกันมา  และแต่งเพลงมามากมายขนาดนั้นครูสุนทรียาก็คงไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร!  ถ้าจะให้ผมวิเคราะห์จาก Form ของทำนองเพลง ก็น่าจะเชื่อได้ว่าครูสุนทรียา แต่งทำนองเพลงนี้เองอยู่จริงๆ เพราะท่อนของเพลงไม่เหมือนกับ Form ทำนองเพลงที่ครูสมาน กาญจนะผลิน เคยแต่งมาทั้งหมด 

          เพลง "รักคุณเข้าแล้ว" ยังได้รับการยกย่องในแง่มุมที่ว่า ครูสุนทรียา เป็นคนแรกที่ใช้คำว่า “ผม..กับ คุณ..” ในเพลง ซึ่งในบทเพลงยุคนั้นมักใช้แค่ฉันกับเธอ พี่กับน้อง หรือยิ่งย้อนยุคเข้าไป ก็ถึงกับใช้คำว่า “เรียม” เลย   ผมกำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะเขียนเพลงที่ใช้สรรพนามเรียกตัวเองกับแฟนว่า “เก๊า” กับ เต๊ง” (เค้ากับตัวเอง) จะดีมั้ย?  เผื่อจะได้อยู่ในตำนานแบบครูบ้าง !

              หลังจากมอบความสุขผ่านบทเพลงให้กับคนไทยมามากมายและยาวนาน  เมื่อผ่านอายุขัย 88 ปี ที่ใบหน้าของท่านยังเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มและความสุข  ท่านก็จากไปอย่างสงบที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ  เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2557 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานน้ำหลวงอาบศพให้แก่ท่าน  ถือเป็นเกียรติสูงสุดต่อท่านและครอบครัว  และผมขอถือโอกาสนี้แสดงความเสียใจต่อการสูญเสียบุคคลสำคัญท่านหนึ่งในบันทึกประวัติศาสตร์วงการเพลงไทยไว้ ณ ที่นี้

              ผมเปิดเพลง “เพียงคำเดียว” ในเวอร์ชั่นที่ผมชื่นชอบที่ขับร้องโดย สุเมธ องอาจ อดีตศิลปินสังกัดแกรมมี่ฯ ฟังไปฟังมาอยู่หลายรอบ  แล้วนึกในใจว่า

 

  • นี่คือเพลงไทยเพลงแรกที่ผมถึงกับซื้อหนังสือเพลงมาเปิดดูเนื้อเพลงเพื่อจดจำและหัดร้อง

  • ย่อมต้องเป็นเพลงสำคัญเพลงหนึ่งในชีวิตผม

  • มันคือจุดเริ่มต้นของอีกหลายร้อยเพลง..ที่ครูสุนทรียา ณ เวียงกาญจน์ ไม่เคยรับรู้ว่าท่านเคยได้เจิม  เคยได้ประทับอะไรไว้ในหัวใจน้อยๆของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ที่วันนี้สังคมยอมรับและเรียกขานเขาว่า “นักแต่งเพลง” เช่นกัน   ขอให้ครูไปสู่สุคติ  พักผ่อนให้สบายนะครับ

                                                                                     สุรักษ์  สุขเสวี

ขอบคุณเว็บไซ้ท์ คอร์ดเพลง.com สำหรับเนื้อร้องพร้อมคอร์ดเพลง

Subscribe for Updates

Congrats! You’re subscribed

bottom of page