top of page

ยืนยง โอภากุล หรือแอ๊ด คาราบาว

ภาพจาก Postjung.com

    ดั่งคำโบราณท่านเปรียบเปรยว่า..เอามะพร้าวห้าวไปขายสวน

เมื่อข้าพเจ้าแต่งเพลง สไตล์ “คาราบาว” ให้ “แอ๊ด คาราบาว” ร้อง

 

        สำหรับคนไทยทุกหัวระแหงในประเทศแล้ว เมื่อพูดถึงชื่อ “คาราบาว” ทุกคนจะต้องรู้จัก และยอมรับยกย่องศิลปินวงนี้ว่าเป็นระดับตำนาน “ตำนาน” ที่เป็นตำนานจริงๆ ไม่ใช่แค่การพูดเพื่อให้เกียรติ การที่นักร้องหรือศิลปินคนไหนจะได้รับสมญานามนี้ได้ จะต้องมีดีกรีความสำเร็จในระดับมหาชน เป็นขวัญใจคนทั้งประเทศ ต้องมีแง่มุมที่ยกย่องได้จริงๆ เป็นเอกลักษณ์ และเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งแน่นอนว่าวงคาราบาว ภายใต้การนำของยืนยง โอภากุล หรือแอ๊ด คาราบาว มีสิ่งเหล่านี้อยู่ครบถ้วน

 

        แอ๊ด คาราบาว หรือที่คนไทยเรียกกันติดปากว่า “น้าแอ๊ด” มีเส้นทางสู่การเป็นศิลปินใหญ่ที่น่าทึ่ง ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านความล้มเหลวล้มลุกคลุกคลาน ก่อนที่จะยืนยันตัวตนของตัวเองได้สำเร็จ มีเพลงฮิตมากมายที่คนไทยร้องกันติดปากมากว่า 3 ทศวรรษ  เดินทางถนนสายดนตรีจนมีวันนี้ได้ด้วยความสามารถของตัวเองทั้งการแต่งเพลงและการร้องเพลง อย่างมีเอกลักษณ์ทั้งสองสิ่ง

 

        คนใกล้ชิดสนิทรู้ใจ หรือคนที่ผ่าน Class สอนแต่งเพลงของผมมา ส่วนใหญ่จะได้ยินคำนี้จากปากผม ว่าผมไม่ค่อยชอบเพลงแบบคาราบาว ซึ่งเป็นรสนิยมส่วนตัว แล้วทุกครั้งผมก็จะพูดต่อทันทีว่า แต่ผมเห็นคุณค่าของสิ่งที่น้าแอ๊ด คาราบาว ทำกับงานดนตรีของเขา  ด้วยทัศนคติแบบคนสร้างงานศิลปะ ที่ไม่สมควรยึดติดกับรูปแบบ ดีหรือไม่ดี ชอบหรือไม่ชอบ เป็นเรื่องที่แต่ละคนจะต้องสัมผัสมันและให้คำตอบกับใจตัวเอง และไม่ควรก้าวล่วงไปตัดสินรสนิยมของคนอื่น

        การแต่งเพลงแบบคาราบาวนั้น ที่ผมบอกว่าเป็นเอกลักษณ์ ขยายถ้อยคำนี้ออกมาให้ชัดๆก็คือ น้าแอ๊ดแต่งเพลงโดยไม่ยึดฟอร์มของทำนองเพลงอย่างเคร่งครัด เหมือนนักแต่งเพลงอาชีพทั่วๆไปทำ ซึ่งเป็นสิ่งที่แม้แต่ครูเพลงยุคเพลงลูกทุ่ง ลูกกรุง ตลอดจนถึงนักแต่งเพลงยุคปัจจุบันก็ยังคงยึดถือปฏิบัติอยู่  อธิบายให้ชัดขึ้นอีกคือปกติเวลาแต่งเพลง คนส่วนใหญ่มักจะไม่รู้ว่าเพลง POP (ส่วนใหญ่) ที่ได้ยินกันมาทั้งชีวิตทั่วสากลโลก ต้องแต่งทำนองออกมาก่อนจะเขียนคำร้อง แทบทุกเพลงล้วนมี Form ของทำนอง ที่พัฒนามาจากวลี Motive ของโน้ต แล้วพัฒนาเป็น Sentence แล้วจึงค่อยพัฒนาเป็นท่อนของเพลง ผมขออนุญาตไม่ขยายความต่อจากนี้ เพราะไม่ได้ตั้งใจมาพูดถึงเรื่องหลักการแต่งเพลง แต่ที่ยกข้อความข้างต้นมาพูด เพื่ออธิบายว่างานเพลงของน้าแอ๊ดไม่ได้ยึดติดกับสิ่งนี้ ทำให้ทำนองเพลงของคาราบาวลื่นไหลไปตาม Chords เป็นหลัก และเพียงพอแล้วที่จะทำให้เพลงฟังไพเราะ จับต้องได้ และโดนใจคนฟังด้วยถ้อยคำที่จัดสรรได้ตามใจชอบ มากกว่าคนที่ต้องเขียนโดยยึดติดกับ Melody ทำนองอย่างเคร่งครัดอย่างผม ที่มัวสาละวนและมีปัญหาว่าอยากจะใช้คำนี้ แต่มันไม่ลงกับโน้ตเพลงเพราะติดวรรณยุกต์ไทย  ซึ่งหลายๆครั้งผมแอบค้อนน้าแอ๊ด (เปรียบเทียบครับ 55) ว่าทำงานได้ง่ายกว่าผม เพราะนักแต่งเพลงไทยในระดับมืออาชีพ ต้องแต่งคำร้องบนทำนองที่คนแต่งทำนองเลือกสรรโน้ต คิดเป็นอย่างดีมาแล้ว และวรรณยุกต์แบบภาษาไทย ที่มีทั้งเสียงสามัญ เอก โท ตรี จัตวา ยิ่งทำให้การแต่งคำร้องเพลงไทย ยาก...เข้าไปอีก!

 

        นี่อาจจะเป็นคำตอบหนึ่งว่าทำไม สำหรับสังคมไทย เมื่อพูดถึงนักแต่งเพลง คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงคนที่แต่งคำร้องมากกว่าคนที่แต่งทำนอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับวงการเพลงสากล นั่นก็เพราะคำร้องเพลงภาษาไทย เขียนได้ยากกว่าภาษาอังกฤษ ซึ่งโน้ตเปิด..สามารถออกเสียงสูงต่ำในคำนั้นได้ตามเสียงโน้ตดนตรี  ส่วนคำร้องเพลงไทยมีหลักการและกฏเกณฑ์ค่อนข้างมากวางไว้เป็นแนวทางปฏิบัติ  ยิ่งยากเท่าไหร่ ถ้าทำได้ก็ยิ่งเก่ง!

 

        แต่อย่างไรก็ดีในความคิดเห็นส่วนตัวของผม การแต่งเพลงของน้าแอ๊ด ถึงจะสูญเสียหลักการแต่งเพลงอะไรบางอย่างไป แต่กลับได้อะไรที่ดีบางอย่างกลับมาทดแทน และแน่นอนว่ามันย่อมคุ้มค่าที่จะแลก  มันจะไม่มีคำว่า "ไม่ได้" ตราบที่ส่งงานออกไปแล้วมีคนนิยมชมชอบ และถ้าบอกว่า "ไม่ได้" ถ้าอย่างนั้น..เราจะเรียกเพลง Rap ว่าเพลงได้หรือ? เพราะสิ่งที่ปรากฏอยู่ในวัฒนธรรม Rap นั้น ยิ่งกว่าการไม่ยึดติดกับโน้ต !

        ในยามบ่ายที่อากาศร้อนรุ่มของวันหนึ่ง ผมแอบนิยามในหัวตัวเองว่า คำร้องเพลง เปรียบเสมือน “กาย” ของเพลง ส่วนทำนอง เปรียบเสมือน “วิญญาณ” เหมือนเราซื้อหนังสือเพลงมาหัดเล่นกีต้าร์ หรือร้องเพลงกับคาราโอเกะ เราจะเห็น “กาย” ของเพลงแต่ละเพลง ปรากฏขึ้นตรงหน้า และขยับเขยื้อนการร้องเพลงของเราไปตามกายหรือคำร้องของเพลงนั้น โดยที่ไม่ได้คิดว่าอักษรถ้อยคำที่เราโก่งคอเอ่ยเอื้อนขับร้องอยู่นั้นมีโน้ตของทำนองหลอมรวมอยู่  และมันจะเป็นเพียงแค่ข้อความ ที่มีฉันทลักษณ์อยู่บ้างในแบบการแต่งเพลงร่วมสมัยเท่านั้น ถ้าปราศจาก “วิญญาณ” ซึ่งก็คือท่วงทำนองอันไพเราะนั่นเอง  เมื่อได้รูปกายที่ดีและจิตวิญญาณที่ดี เพลงๆนั้นก็จะเป็นเพลงที่ดีตามไปด้วย ผ่านบ่ายวันนั้นมาได้ ผมก็ยังคิดเช่นนี้อยู่!

 

        กลับมาเรื่องเอามาพร้าวห้าวไปขายสวนนะครับ เรื่องก็มาจากกว่า ผมได้รับ Brief จากลูกค้าให้แต่งเพลงในลักษณะ Coporate  ซึ่งก็คืออาชีพหลักของผมในปัจจุบัน โดยแต่งเพลงให้กับ “กรมเจ้าท่า” ซึ่งเป็นหน่วยงานของราชการในสังกัดกระทรวงคมนาคม เป็นหน่วยงานที่มีมาแต่โบราณกาลเลยก็ว่าได้ ย้อนกลับไปถึงสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ โน่นเลย เพราะเมื่อสยามประเทศมีการติดต่อซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากับชาวต่างประเทศ  สมัยโบราณก็คงจะขนส่งมาได้สะดวกก็ด้วยทางเรือ ทางทะเล และแม่น้ำ ซึ่งสมัยอยุธยาก็มี “กรมท่า” เป็นหน่วยงานที่ดูแลจัดระเบียบ อำนวยความสะดวกและความปลอดภัย  รวมไปถึงการจัดเก็บภาษีอากรด้วย  ถือว่าเป็นหน่วยงานที่มีความเป็นมายาวนาน และเป็นหน่วยงานสำคัญต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้

 

        เชื่อว่าผู้บริหารระดับสูงของกรมเจ้าท่าและอาจจะหมายถึงท่านอธิบดีกรมด้วย ก็คงเป็นแฟนเพลงของคาราบาว และเมื่อจะมีเพลงประจำหน่วยงานตัวเอง ก็อยากจะได้เพลงแนวๆนี้ ผมเองก็สมกับที่เป็นนักแต่งเพลงที่รองรับทุกระดับความท้าทาย เมื่ออยากได้เพลงสไตล์ “คาราบาว” ผมก็จัดมาให้  แน่นอนว่าการแต่งเพลงแนวนี้ จะต้องมีโน้ตแบบไทยๆเป็นหลักตามแบบเพลงของคาราบาว แต่บนตัวตนของผมในการแต่งเพลงแต่ละเพลง ผมก็ยังอยากจะให้ทำนองเพลง มีรูปแบบที่ชัดเจนอยู่ดี เพลงนี้จึงปรากฏ “กาย” ของมันออกมา บน “วิญญาณ” ที่มีโครงสร้างฟอร์มของทำนองที่เป็นระเบียบ และมันก็จะทำยากขึ้น แต่มันเป็นสิ่งที่ผมถูกเคี่ยวกรำมาจากโรงเรียนเรวัต พุทธินันทน์ จึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับผม

        เมื่อเพลงเสร็จ ผมก็ส่ง Demo ไปให้ลูกค้าฟัง ปรากฏว่าลูกค้าชอบมาก เลยต่อยอดความคิดไปว่า แล้วถ้าอยากให้ “แอ๊ด คาราบาว” เป็นคนร้องเพลงนี้ล่ะ? จะเป็นไปได้มั้ย? เป็นคำถามที่ผมไม่ต้องตอบเอง เพราะมีคนติดตามประสานงานในเรื่องนี้ให้  ในที่สุดก็ได้จริงๆ โดยที่ผมไม่ต้องลงทุนไปตามตัวน้าแอ๊ดด้วยตัวเอง

 

        คราวนี้มันก็จะมีปัญหาตรงที่ว่า นักแต่งเพลงรุ่นน้องอย่างผม ซึ่งบังอาจไปแต่งเพลงตามแบบที่น้าแอ๊ด ได้คิดค้นสูตรการแต่งเพลงนี้ไว้ จะไปคุมร้อง ศิลปินระดับตำนานอย่างน้าแอ๊ดได้อย่างไร?  ความจริงผมอยากไปมาก ด้วยเหตุผลสองประการคือ อยากไปกราบสวัสดีกับศิลปินระดับตำนานด้วยตัวเองสักครั้ง  และข้อสองซึ่งสำคัญมากคือ ผมห่วงว่าน้าแอ๊ดจะเปลี่ยนโน้ตที่ผมแต่งมา..ไปตามใจชอบ ตามสไตล์ของแก แต่จะไปคุมร้องน้าแอ๊ดคงเป็นเรื่องน่าขำ น่าขัน  คิวงานแสดงของคาราบาวก็เต็มเหยียด ดังนั้น...สรุปว่าน้าแอ๊ดจะหาเวลาที่ตัวเองสะดวก มาร้องเพลงนี้ให้ (ร้องให้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว!) โดยที่ผมส่ง Backing Track และ Demo Guide ไปให้ฟัง เมื่อร้องเสร็จ น้าแอ๊ดก็จะส่งเสียงร้องมาให้ผมกลับมาทำ Production ตามแบบของผมต่อ

 

        แล้วมันก็เป็นไปอย่างที่ผมคาดคิดไว้เป๊ะ! เพราะมีโน้ตจำนวนมากมาย เกือบ 20 % ของเพลง ที่น้าแอ๊ดร้องมาโดยที่ไม่ได้เหมือนโน้ตที่ร้องไก๊ด์ไว้ ผมเลยถือวิสาสะในอำนาจหน้าที่ที่ตัวเองเป็น Producer ของเพลงนี้ Edit เสียงร้องของน้าแอ๊ดในโน้ตที่สามารถทำได้ เพื่อกู้โน้ตที่ผมแต่งไว้กลับมา  มันก็จะทำได้อยู่ประมาณครึ่งหนึ่งของที่ร้องไว้ไม่ตรง และในส่วนที่กอบกู้ไม่ได้ คือส่วนที่ผมอยากจะบอกว่า “มันไม่ได้เสียหายอะไรเลย” และทำให้ผมเห็นภาพสิ่งที่น้าแอ๊ดทำไว้กับการแต่งเพลงในแบบของตัวเองชัดขึ้นไปอีก เพราะโน้ตที่แก้ไม่ได้นั้น กลับกลายเป็นฟังดีไปอีกแบบ! เพราะมันถูกร้องออกมาแบบเต็มศักยภาพของแก โดยเฉพาะคำว่า “มุ่งมั่นเดินทาง ลับลิบไกลสุดตา” ผมแต่งทำนองไว้ด้วยโน้ตที่ต่ำกว่านี้ แต่น้าแอ๊ดเลือกร้องโน้ตที่สูงกว่า และโน้ตชุดนี้ก็ให้อารมณ์มากกว่าแบบที่ผมแต่งไว้จริงๆ ถ้าจะบอกว่านี่คงจะเป็นหนึ่งในเคล็ดลับ..ของเพลงแบบคาราบาว ก็คงจะใช่!

 

        เหตุการณ์ครั้งนี้กลายเป็นเรื่องแปลก และไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ แต่ก็เกิดขึ้นแล้ว เมื่อผมได้แต่งเพลงขึ้นมาเพลงหนึ่ง ในแบบที่น้าแอ๊ดแต่งแบบนี้มาคนเดียวทั้งชีวิต  และปกติน้าแอ๊ด ก็ไม่ใช่ว่าจะร้องเพลงอะไรก็ได้ ถึงตรงนี้ยังนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่า แอ๊ด คาราบาว เคยร้องเพลงที่ใครแต่งบ้าง?  ถ้ามี..ก็คงจะน้อยมากๆ  อย่างไรก็ตาม..เพลง กรมเจ้าท่า ได้กลายเป็นเพลงที่ผมต้องพูดถึงด้วยความภาคภูมิใจ ที่ครั้งหนึ่ง..ผมได้เอามะพร้าวห้าวจากสวนของตัวเอง ไปขายสวนมะพร้าวระดับตำนานอย่างน้าแอ๊ด สำเร็จ +++

                          กรมเจ้าท่า

 

ศิลปิน : ยืนยง โอภากุล

คำร้อง/ทำนอง/Producer : สุรักษ์ สุขเสวี

เรียบเรียงโสตถินันท์ ไชยลังการณ์

 

โอ....

*ตำนานแห่งน่านน้ำไทย

ก้องเกรียงไกรนับแต่ก่อนกาลมา

จากแผ่นดินอโยธยา ข้ามผ่านมารัตนโกสินทร์

ฝ่ากระแสน้ำแรงพัดพา ท่องนาวาเย้ยฟ้าท้าดิน

ดูแลเก็บเกี่ยวทรัพย์สิน ทั่วแคว้นแดนดินช่วยชาติวัฒนา คือเกียรติภูมิของกรมเจ้าท่า

ชีวิตพาณิชย์นาวี ชาญเชี่ยววารีอุทกวิทยา

ทั้งกายและใจไม่เคยไกลจากน้ำ

เกลียวคลื่นวาววามยามตะวันทาบทา

ทะเลกว้างใหญ่ยิ่งพาใจอ้างว้าง

มุ่งมั่นเดินทางลับลิบไกลสุดตา

โอ้...ชีวิตมีแค่น้ำกับฟ้า            ซ้ำ *

ผูกพันกระแสสายชล  ขนส่งผู้คนสินค้านานา

หัวใจตั้งหลักทอดสมอจอดไว้

ช่วยให้คนไทยได้ปลอดภัยถึงท่า

เชื่อมการขนส่งเฝ้ารักษาร่องน้ำ

นำร่องไปตามท้องทะเลเหว่ว้า

คือ...ชีวิตที่เรานั้นศรัทธา         ซ้ำ *

Solo /  *

โอ.........คือเกียรติภูมิ...ของกรมเจ้าท่า

Subscribe for Updates

Congrats! You’re subscribed

bottom of page